จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การประชาสัมพัธ์งานของห้องสมุด

การประชาสัมพันธ์งานของห้องสมุด
การประชาสัมพันธ์/การตลาด
         การประชาสัมพันธ์และการตลาดมีหน้าที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด  หลักการของการประชาสัมพันธ์  คือ เลือกใช้วิธีการตลอดจนเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสม  และมีประสิทธิภาพ  ประสิทธิผล  ส่วนหน้าที่ของการตลาด คือ การใช้หลักการทางบริหารธุรกิจบางส่วนมาประยุกต์ใช้  เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความพอใจ  ประทับใจในการบริการที่จัดให้  ซึ่งจำเป็นจะต้องรู้จักและเข้าใจกลักการประชาสัมพันธ์เป็นอย่างดี  เพื่อจะได้นำมาใช้กับการตลาดในงานบริการห้องสมุดได้  มีการทำเพื่อกระตุ้นให้คนมาใช้ห้องสมุด  และมีคนรู้จักห้องสมุดมากขึ้น
ความหมายของการประชาสัมพันธ์
         เรย์มอน  ไซมอน (Raymon  Simon)ให้ความหมายของการประชาสัมพันธ์ไว้ว่า
การประชาสัมพันธ์ คือ การส่งเสริมให้เกิดความกลมเกลียวราบรื่น  ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างสะดวก  และ ความนิยมระหว่างบุคคลกับหน่วยงาน  หรือสถาบันและบุคคลอื่นๆ  รวมทั้งกลุ่มประชาชนบางกลุ่ม  หรือชุมชนกลุ่มใหญ่  โดยการสื่อความหมายผ่านสิ่งที่สามารถตีความหมายได้  และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างฉันไมตรี  รวมทั้งประเมินปฏิกิริยาท่าทีของประชาชน
         คัทลิป และ เซนเตอร์ (Cutlip and Center)ให้คำจำกัดความว่า
การประชาสัมพันธ์  คือ  การติดต่อสื่อความหมายทางด้านความคิดเห็นจากหน่วยงานไปสู่กลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งจะเน้นหน่วยงานกับกลุ่มคน
         อาจารย์สะอาด  ตัณศุภผล  ให้คำจำกัดความว่า
การประชาสัมพันธ์ คือ วิธีการของสถาบันที่มีแผนการตลาดและการกระทำที่ต่อเนื่องกัน  เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้อง  มีความรู้ความเข้าใจ  และให้ความสนับสนุนร่วมมือกันและกัน  อันจะเป็นประโยชน์ให้สถาบันนั้นๆดำเนินงานไปได้ผลดีสมความมุ่งหมาย  โดยมีประชามติเป็นแนวทางบรรทัดฐานสำคัญด้วย
         ดร.เสรี  วงษ์มณฑา  ได้กล่าวเอาไว้ว่า
การประชาสัมพันธ์ คือ การนำสื่อต่างๆมาใช้โดยต้องมีการวางแผน  เมื่อคนรับรู้ก็จะเกิดทัศนคติที่ดี  และสามารถดำเนินการต่อไปได้  เพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้รับสาร  ที่สำคัญการประชาสัมพันธ์นั้นต้องมีกลุ่มเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์
1. เพื่อสร้างภาพพจน์  รือ ภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์การ  ซึ่งจะมีผลติดตามมาหลายอย่าง  เช่น มีผู้ใช้ห้องสมุดเพิ่มมากขึ้น
2. เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด  ที่ประชาชนมีต่อองค์การสถาบัน  เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียหายได้  เช่น ลดปริมาณผู้ใช้ห้องสมุดลง  เกิดทัศนคติไม่ดีต่อองค์การ
3. เพื่อกระตุ้นความสนใจ
4. เพื่อสร้างความนิยมแก่ชุมชนในละแวกใกล้เคียง
5. เพื่อสร้างความนิยมในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในองค์การ  เช่น ในคณะต่างๆของมหาวิทยาลัย
6. เพื่อชี้แจงและให้บริการแก่ผู้ใช้ห้องสมุด
7. เพื่อเพิ่มพูนความเป็นมิตรไมตรีจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ
กระบวนการประชาสัมพันธ์
มีกระบวนการดำเนินงานอยู่ 4 ขั้นตอน  ดังต่อไปนี้
1.การวิจัย – การรับฟัง (Research-Listening)
         จัดทำขึ้นเพื่อ  ต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น  ศึกษาลักษณะพฤติกรรมผู้ใช้ห้องสมุดของเรา  เช่น  ใช้แบบสอบถาม  การสนทนาพูดคุย
2. การวางแผน – การตัดสินใจ (Planning-Decision  Making)
         เป็นการกำหนดว่า เริ่มต้นจะทำอย่างไร  ใช้สื่ออะไร  เริ่มต้นตรงไหน  ใครคือกลุ่มเป้าหมาย
3. การสื่อสาร (Communication)
เป็นการเลือกใช้สื่อชนิดต่างๆที่จะสื่อสารออกไป  ต้องให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายด้วย
4.การประเมินผล (Evaluation)
เป็นการวัดผลว่าที่ได้ทำไปแล้วได้ผลตอบรับเป็นอย่างไร  ดี หรือ ไม่ดี
การสื่อสารประชาสัมพันธ์
องค์ประกอบของการสื่อสาร  ประกอบด้วย
1.ผู้ส่งสาร (Source หรือ Sender)
เป็นผู้ริเริ่มบอกให้ผู้อื่นรู้อะไร  โดยการพูด เขียน หรือโฆษณาก็ได้ 
       - ต้องมีทักษะการพูดที่ดี  พูดให้ชัดเจน  มีไหวพริบ  ตอบคำถามได้  มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ  และระบบสังคมที่สามารถจะ สื่อสารออกไป  เช่น หน่วยงานภาครัฐสื่อออกมาคนจะเชื่อมากกว่า
      -  ต้องมีทัศนคติที่ดีต่อเรื่องที่จะประชาสัมพันธ์
      - เข้าใจวัฒนธรรมของผู้รับสาร
2.สาร (Message) 
สาระ หรือ สิ่งที่จะประกาศออกไป  เนื้อหา  มาจากแหล่งต่างๆที่ให้สารสนเทศ
3.ช่องสาร หรือ สื่อ (Chanel หรือ Media)
มีหลายช่องทาง  เช่น การพูด  การประกาศ  การโฆษณาทางวิทยุ   โทรทัศน์
4.ผู้รับสาร (Receiver)
       กลุ่มเป้าหมายที่เราจะส่งสารออกไป
กลุ่มเป้าหมายของการสื่อสาร
1.             1. การสื่อสารในองค์การ
             - การสื่อสารจากผู้บังคับบัญชา/ผู้บริหาร
-                 -   การสื่อสารจากผู้ใต้บังคับบัญชา
-                    - การสื่อสารจากผู้ร่วมงานระดับเดียวกัน
-                   -  การสื่อสารต่างระดับสายงาน
2.           2. การสื่อสารภายนอกองค์การ
การสื่อสารภายนอกนี้กระทำได้ 2 วิธี คือ การสื่อสารที่สถาบันควบคุมได้ กับ การสื่อสารผ่านสื่อมวลชน
หลักในการสื่อสาร
หลักกว้างๆในการสื่อสารให้มีประสิทธิผล ได้แก่
1.                     1. ความถูกต้องน่าเชื่อถือ  หมายถึงความถูกต้องน่าเชื่อถือของสาร  และของบุคคลผู้ส่งสาร  หรือแหล่งสาร
         ในแง่ของตัวผู้ส่งสาร  และแหล่งสารนั้น  ความน่าเชื่อถือเป็นคุณสมบัติสำคัญมาก  ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะหลายประการ ได้แก่
1.                                               1.ความรู้  ประสบการณ์ของแหล่งสาร
2.                                              2. บุคลิกภาพของผู้ส่งสาร
3.                                              3. การมีคุณสมบัติที่สอดคล้องสัมพันธ์กับเนื้อหาของงาน
4.                                             4.  วิธีการสื่อสาร
2.                   2.  ความเหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
3.                    3. ความแจ่มแจ้ง
4.                   4. ความเหมาะสมกับกาลเทศะ
5.                  5.  ความต่อเนื่องสม่ำเสมอ
6.                   6. ความเหมาะสมในการใช้สื่อ
7.                  7.  ความสามารถของผู้รับสาร
การสื่อสารประชาสัมพันธ์
ลักษณะเฉพาะของการสื่อสารประชาสัมพันธ์
1.             1. การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสาร 2 ทาง ระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ
2.             2. การประชาสัมพันธ์ทำได้ทั้งแบบที่เป็นทางการ  และไม่เป็นทางการ
3.            3.  การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะ คือ
-                         - เป็นการสื่อสารเพื่อแจ้งให้ทราบ
-                         - เป็นการสื่อสารเพื่อให้ความรู้
-                        -  เป็นการสื่อสารเพื่อให้ความบันเทิง
-                         - เป็นการสื่อสารเพื่อจูงใจ
4.             4. การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารที่สามารถควบคุมสื่อได้เอง  และอาศัยสื่อมวลชนทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์มาทำการสื่อสาร
5.             5. มีการจัดกลุ่มเป้าหมาย 
การวางแผนการประชาสัมพันธ์
         การวางแผนการประชาสัมพันธ์  หมายถึง การกำหนดวิธีการปฏิบัติเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานประชาสัมพันธ์และเพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดคล้องต่อเนื่อง  เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้  ต้องระบุกิจกรรมต่างพร้อมกำหนดเวลา  และรายละเอียดที่เหมาะสม
ความสำคัญของการประชาสัมพันธ์
         การประชาสัมพันธ์  ช่วยให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสถาบัน  และกลุ่มประชาชน  ฉะนั้น  การประชาสัมพันธ์จึงมีความสำคัญในเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้
1.             1. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสถาบัน
2.             2. เป็นกลไกในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
3.             3. ช่วยผลักดันให้การดำเนินงานของสถาบัน  เป็นไปได้ด้วยดี
4.            4.  เป็นกลไกในการชักจูงโน้มน้าวใจ  ให้เกิดการยอมรับ  สนับสนุน  และเกิดการปฏิบัติตาม
5.             5. เป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดในองค์การ  ให้คนรู้จักและมาใช้บริการห้องสมุดของเรา
6.             6. เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับสถาบันองค์การ
ภาพลักษณ์ขององค์การ
         ทุกองค์การ  ทุกหน่วยงานต้องให้หน่วยงานของตนมีภาพลักษณ์ที่ดี  แต่การจะเกิดภาพลักษษณ์ที่ดีได้นั้นต้องอาศัยเวลา  และการสั่งสมแนวปฏิบัติที่ดี  และต้องการคุณลักษณะที่ดีของบุคลากรเป็นเครื่องผลักดัน  เมื่อเกิดขึ้นแล้วหน่วยงานนั้นก็ควรพยายามรักษาภาพลักษณ์นั้นไว้  ซึ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์การจะมีหน้าที่เผยแพร่สู่สาธารณชน
ความหมายของภาพลักษณ์
นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ดังนี้
         ดร.คลอด  โรบินสัน และ ดร.วอลเตอร์  แบรโล  ได้ให้ความหมายว่า  ภาพลักษณ์ หมายถึง  ภาพที่เกิดขึ้นในจิตใจซึ่งบุคคลมีความรู้สึกนึกคิดต่อองค์การ  สถาบัน  ภาพในใจดังกล่าวของบุคคลนั้นๆอาจได้มาจากประสบการณ์ตรง  และประสบการณ์อ้อมของตนเอง  เช่น  ได้ประสบมาด้วยตนเองหรือได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าของผู้อื่น
         มานิต  รัตนสุวรรณ  ได้กล่าวไว้ว่า  ภาพลัก
ษณ์เป็นความประทับใจในสิ่งที่เรารู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  หรือคนใดคนหนึ่ง  หรือองคการใดองค์การหนึ่ง  จะเรียกว่าชื่อเสียงก็ได้
         ประจวบ  อินอ๊อด  ให้ความหมายของภาพลักษณ์ไว้ดังนี้
1.                    1.  พลังแฝงที่จะนำไปสู่พฤติกรรม
2.                    2.  เจตคติของบุคคล  กลุมบุคคลที่มีต่อสถาบัน  หรือเป้าหมาย  ซึ่งอาจจะเป็นกรณี หรือบุคคล  หรือสถาบันก็ได้
3.                     3. ความคาดหมายของบุคคลต่อบุคคล  กรณี หรือ บุคคล  หรือสถาบันที่มีต่อกรณีหนึ่งซึ่งจะต้องสอดคล้องกับความเชื่อ  ความรู้สึกของคนที่มีอยู่
4.                     4. สิ่งที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของตนที่มีต่อกรณี  บุคคล  หรือสถาบัน
5.                     5. คุณค่าเพิ่ม  หรือความนิยมที่มีต่อสถาบัน  บุคคลหรือกรณีใดๆ
การเกิดภาพลักษณ์
ภาพลักษณ์เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ
1.               1.  ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสภาพแวดล้อม  โดยที่สถาบัน  องคืการไม่ได้ดำเนินการใดๆ
2.                2. ภาพลักษณ์ที่เกิดจากกระบวนการการสร้างภาพลักษณ์ตามที่สถาบัน  องค์การต้องการจะให้เป็น
การวางแผนการประชาสัมพันธ์
         การวางแผนการประชาสัมพันธ์  หมายถึง  การกำหนดวิธีการปฏิบัติ  เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานประชาสัมพันธ์และเพื่อให้การดำเนินงานนั้นๆมีความสอดคล้องต่อเนื่อง  เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้โดยแผนการประชาสัมพันธ์อย่างน้อยจะต้องระบุกิจกรรมต่างๆพร้อมกำหนดเวลา  และรายละเอียดที่เหมาะสม
ความสำคัญของการวางแผนการประชาสัมพันธ์
1.                1. การวางแผนกำหนดแนวทางปฏิบัติ  ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ  ผ็ปฏิบัติมีขวัญ  กำลังใจในการทำงานมากขึ้น
2.                2. การวางแผนช่วยให้เกิดการประสานงานภายใน  ช่วยเพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้อง  มีการประสานงานระหว่างฝ่ายประชาสัมพันธ์กับฝ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
3.               3.  การวางแผนช่วยให้สามารถระบุปัญหาในการที่จะใช้การประชาสัมพันธ์แก้ไขปัญหาต่างๆที่ทางสถาบันเผชิญอยู่
4.                4. การวางแผนช่วยให้ติดตามประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะการวางแผนการประชาสัมพันธ์ที่ดี
การวางแผนการประชาสัมพันธ์ที่ดีมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.                1. มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์
2.                2. สามารถปฏิบัติได้
3.                3. เหมาะสมกับเวลา
4.                4. มีความคิดริเริ่ม  และสร้างสรรค์อยู่ในชิ้นงาน
5.                5. สามารถประเมินผลได้


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมห้องสมุด

การเล่าเรื่องหนังสือ (Book talk)
         การเล่าเรื่องหนังสือ  เป็นการนำหนังสือมาพูดเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ  โดยเลือกจุดเด่นของหนังสือ  โดยการอ่านและศึกษา  แล้วนำมาเล่า พร้อมทั้งมีหนังสือแสดงประกอบขณะเล่าด้วย
การเตรียมการและวิธีการเล่าเรื่องหนังสื
  1. เลือกหนังสือ  ต้องคำนึงถึงผู้ฟัง  และผู้เล่าด้วย
  2. พิจารณาจำนวนผู้ฟัง  ระหว่างเด็กหญิงและเด็กชาย  เพราะจะมีความสนใจแตกต่างกัน  ต้องใช้จิตวิทยาในการเล่า  เช่น กลุ่มม.ต้น กับกลุ่มม.ปลายความสนใจจะแตกต่างกัน
  3. พิจารณาภูมิหลังของกลุ่มผู้ฟัง  ดูว่าคนฟังเป็นใคร  มีหน้าที่อะไร  เช่น ชาวนา ก็ต้องเลือกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร  การทำนา
  4. จัดหัวข้อเรื่องที่จะเล่า  เช่นเทศกาลต่างๆ  กำหนดจำนวนหนังสือที่จะนำมาเล่าในหัวข้อนั้นๆ
  5. กำหนดเวลาการเล่า  ซึ่งไม่ควรเกิน 40 นาที และต้องเหลือเวลาให้ผู้ฟังได้ซักถาม  แลกเปลี่ยนทัศนะคติประมาณ 10 นาที
  6. ทำโน๊ตที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด  โน๊ตจะให้โครงเรื่องในการพูด  ประเด็นที่สำคัญๆ ในการพูด  และต้องมีบรรณานุกรมและอ้างอิงด้วย
  7. บางครั้งใช้วิธีอ่านก็ได้  เช่นอ่านโครง กลอน ความเรียงบางเรื่องที่ใช้ภาษาที่ไพเราะ  สละสลวย

การวิจารณ์หนังสือ (Book review)
         การวิจารณ์หนังสือ  เป็นการพิจารณาหนังสือเกี่ยวกับลักษณะการเขียนเนื้อหาว่ามีข้อดีเด่น  ประทับใจ  หรือให้ความรู้  ข้อคิดในเรื่องใด  มีข้อบกพร่อง  หรือจุดอ่อนอยู่ในวิธีเขียน หรือเนื้อหาสาระของเรื่องในตอนใดบ้าง  อาจจะเป็นการเชิญนักเขียน  หรือนักวิจารณ์มาวิจารณ์ก็ได้
จุดประสงค์ของการจัดวิจารณ์หนังสือในห้องสมุด
  1. ส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือที่มีคุณค่ามากขึ้น
  2. ส่งเสริมให้มีวิจารณญาณในการอ่าน
  3. เป็นการแนะนำหนังสือดีที่ควรอ่าน

ลักษณะของนักวิจารณ์หนังสือที่ดี
  1. เป็นนักอ่าน  หรือชอบอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
  2. เป็นผู้พยายามศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องของหนังสือ  วิธีการวิจารณ์
  3. ควรได้ศึกษาชีวิตและงานของนักเขียน  ทัศนคติที่ปรากฎเด่นในงานประพันธ์  ลีลาการเขียน  และควรศึกษาผลงานอื่นๆของผู้เขียนด้วย
  4. มีความสามารถในการอ่านและมีวิจารณญาณอันดี
  5. มีใจเป็นกลาง  
นักวิจารณ์หนังสือที่มีความรู้และมีใจเป็นธรรมจะได้รับประโยชน์จากกการวิจารณ์ คือ
  1. ทำให้เกิดความคิด  สติปัญญา  ไม่ปล่อยให้สิ่งใดผ่านไปโดยไม่พิจารณา
  2. ทำให้ผู้วิจารณ์มีความรู้ในสิ่งต่างๆกว้างขวางขึ้น
  3. สามารถแก้ไขสิ่งบกพร่องให้ดีได้
  4. ช่วยทำให้เป็นผู้ที่มีเหตุผล  เพราะการวิจารณ์จะต้องคำนึงถึงหลัก  และต้องวิจารณ์อย่างมีเหตุผล
  5. ความเที่ยงธรรมในการวิจารณ์  การไม่ใช้อารมณ์  จะช่วยทำให้มีนิสัยดีติดตัวไปด้วย

การจัดนิทรรศการ (Library display)
ความหมายของนิทรรศการ
         นิทรรศการ คือ การแสดงการให้การศึกษาอย่างหนึ่งด้วยการแสดงงานให้ชม  อาจมีผู้บรรยายให้ฟัง  หรือไม่มีก็ได้  จะใช้สถานที่ในอาคาร หรือนอกอาคารก็ได้
         การจัดนิทรรศการ  ต้องจัดอย่างมีระเบียบเรียบร้อย  ดูง่าย  คำนึงถึงความแจ่มชัด  ก่อให้เกิดความรู้
วัตถุประสงค์ในการจัดนิทรรศการของห้องสมุ
  1. กระตุ้นให้เกิดความสนใจหนังสือ  และการอ่าน
  2. แสดงให้ผู้ใช้ทราบว่า  บริการของห้องสมุด และทรัพยากรห้องสมุดจะช่วยคนในชุมชนได้อย่างไร
  3. แจ้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวของห้องสมุด  บอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  มีเทศกาลอะไรบ้าง ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ห้องสมุดไปในตัวด้วย  และเหตุการณ์ความเป็นไปของโลกภายนอกให้ผู้ใช้ทราบ
  4. เชิญชวนให้ผู้ใช้เข้าห้องสมุดเพิ่มมากขึ้น
  5. เพื่อจัดบรรยากาศในห้องสมุดให้สดใส  สวยงาม  สบายตา  น่าเข้าไปอ่านหนังสือ  และน่าใช้เป็นที่ศึกษาหาความรู้มากยิ่งขึ้น

ความรู้ที่บรรณารักษ์พึงมีเพื่อประโยชน์ในการจัดการนิทรรศการที่ดี
  1. ความรู้เรื่องศิลปะ
  2. ความรู้ในสาระของข้อมูลแต่ละเรื่อง
  3. มีความคิดสร้างสรรค์  ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ได้
  4. มีความเข้าใจในองค์ประกอบศิลปะ  จะทำให้จัดนิทรรศการได้ดี  มีระเบียบมากขึ้น

การแบ่งประเภทนิทรรศกา
         นิทรรศการ  ต้องมีจุดสนใจหนึ่งจุด  ตัวหนังสือต้องอ่านง่าย  และต้องมีบรรณานุกรมประกอบด้วย
  1. นิทรรศการใหญ่  เช่น งาน Book fair CMU แนะนำคนให้รู้จักหนังสือ  และมีการพูดในเรื่องหนังสือด้วย
  2. นิทรรศการย่อย  เช่น หน้าห้องสมุดคณะต่างๆ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สามารถหาได้จากสำนักงาน
  3. นิทรรศการให้คำแนะนำโดยตรง
  4. นิทรรศการความรู้
  5. นิทรรศการหนังสือ
  6. นิทรรศการเทศกาลและวันสำคัญ



วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเข้าร่วมฟังการบรรยายบริการรูปแบบใหม่ กับ อ.บุญเลิศ อรุณพิบูลย์

การบริการรูปแบบใหม่ (New Service)
         การบริการรูปแบบใหม่ (New Service)  ปัจจุบันจะมีเทรนด์ใหม่ๆเข้ามามากขึ้น  ส่วนมากจะเริ่มมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา  จะมีหลากหลายรูปแบบ  ดังต่อไปนี้
1. Cloud Computing
         Cloud จะเริ่มมาจากต่างประเทศ  เมื่อนำมาปรับใช้เราก็ต้องดูสถาบันสารสนเทศของเราก่อนว่าสามารถทำได้หรือไม่  เช่น Facebook  Gmail   Cloud Computing แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ที่ตั้ง การที่เราไม่ทารบว่าข้อมูลที่เราทำขึ้นไปนั้นอยู่ที่ไหน  ไม่ทราบแหล่งที่ตั้งของตัวเก็บข้อมูล  การทำงานจะทำบนอินเตอร์เน็ตแล้วทำการประมวณผลด้วยserverใด serverหนึ่ง
2. กลุ่มก้อน  ไม่มีserver ตั้งอยู่จำกัด  จะตั้งกระจายๆ เช่น Gmail  accountของเราจะไปอยู่ประเทศไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าseverที่ประเทศใดว่างอยู่ขณะตอนที่อัพโหลดขึ้นไป
Cloudจะมีทั้งระดับ
Cloud ระดับองค์กร  เช่น Cloud Library
Cloud ระดับบุคคล/บริการ  เช่น Gmail , Facebook , Meebo
Cloud ผสม Dropbox เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใช้ คือ การเก็บรวบรวมงานของเราไว้แล้วสามารถให้คนอื่นมาโหลดไปได้
Cloud ที่แยกตามประเภทการให้บริการ
Public Cloud  คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้
Private Cloud  เฉพาะองค์กรของเราที่สามารถเข้าถึงได้
Hybrid Cloud  ทุกๆระดับ
แยกตามประเภทของเทคโนโลยี
SaaS  -  software as a service เช่น www.zoho.com(ไม่ต้องจ่ายเงินค่าระบบ  จะจ่ายตามเรทที่ต้องการใช้) , www.ducs.google.com
IaaS  - Infrastructure as a service
PaaS  - Platform as a service

2. Mobile Device
         ไม่ตกเทรนด์มาตลอด 5 ปีแล้ว  การจะใช้ในห้องสมุดต้องสำรวจผู้ใช้ก่อนว่าผู้ใช้ใช้โทรศัพท์ประเภทไหน  สามารถเข้าเว็บไซต์ได้หรือไม่  เราจะรู้จักผู้ใช้ และพฤติกรรมผู้ใช้ได้จาก www.truehits.net  ซึ่งเป็นเว็บไซต์สถิติของไทยที่สามารถเข้าไปดูสถิติได้
Smart Phone : Java , Debian
Tablet : Android เช่น Galaxy tab สามารถโชว์ Flash ได้
eReader : ios เช่น Ipad โชว์ Flash ไม่ได้
Netbook : Windows เช่น notebook ทั่วๆไป  เช่น เว็บgoogle analytics

3. Digital content & Publishing 
         เช่น ebook , IR , Digital library , OJS  เช่นเว็บไซต์ ag-ebook  หรือ siamrareebook.com  จากที่ทุกองค์กรมีเงินน้อยลง  จึงมีการจัดทำบริการในรูปแบบที่ 1กับ 3นี้มากขึ้น
ebook ข้อเสีย ออนไลน์ไม่ได้  ใช้เวลาในการทำเยอะ  ในการจะทำ ebookนั้นต้องคำนึงถึงเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้  1. การได้มาของเนื้อหา
    2. กระบวนการผลิต และรูปแบบ
    3. ลิขสิทธิ์  ต้นฉบับและการเผยแพร่
รูปแบบ ebook
.doc
.pdf
Flip ebook
Flash flip ebook
epublishing
.epub  ( เป็นนามสกุลของเอกสาร smart phone จะใช้อันนี้ เช่น Ipod , Iphone)
Digital Multimedia book

4. Crosswalk Metadata
         Metadata เกิดขึ้นมาจากบรรณารักษ์  ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้เกิดขึ้นมามากมาย
  • MARC
  • MARCML
  • Dublin core
  • ISAD (g)  มาตรฐานการทำจดหมายเหตุ
  • CDWA มาตรฐานการทำพิพิธภัณฑ์
  • RDF   การทำเกี่ยวกับ High KM ในรูปแบบของ Web 3.0
  • OWL  การทำเกี่ยวกับ High KM ในรูปแบบของ Web 3.0
  • MODs มาตรฐานการทำเกี่ยวกับห้องสมุดเฉพาะ  จะมี element มากกว่า Dublin core
  • METs มาตรฐานการทำเกี่ยวกับห้องสมุดเฉพาะ  จะมี element มากกว่า Dublin core
  • PDF Metadata 
  • Doc Metadata
  • EXIF ทำงานเกี่ยวกับรูปภาพ  ภาพถ่าย เช่น ทำงานของCNN
  • XIF ทำงานเกี่ยวกับรูปภาพ  ภาพถ่าย เช่น ทำงานของCNN
  • IPTC ทำงานเกี่ยวกับรูปภาพ  ภาพถ่าย เช่น ทำงานของCNN
Web 4.0 คือ การก้าวเข้าสู่ Automatic AV ตัวอย่างเว็บไซต์ เช่น
www.biomedexpert.com(จะมีการทำความสัมพันธ์เกี่ยวกับคำที่หาให้ทั้งหมด)
www.researchgate.net
Web 4.0 จะเป็นการดึงข้อมูลของเราทั้งหมดมาให้โดยที่จะดึงข้อมูลทั้งหมดที่เราเคยทำอะไรที่ไหนมาบ้างและอยู่ในเว็บไหนก็จะถูกดึงมาให้ผู้ใช้ได้ทราบหมด  ซึ่งก็กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล
    5. Open Technology 
             เป็นการเปิดให้ผู้ใช้โดยทั่วๆไปสามารถเข้าถึงสารสนเทศของแต่ละสถาบันนั้นๆได้ เช่น
    • Z39.5  เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลบรรณานุกรมของหนังสือผ่าน ILS <---> ILS
    • Z39.88  ILS <---> Apps การเพิ่มลำดับเว็บ  หรือการจัดลำดับเว็บ  เช่น www.Ometric.com
    • OAI-PMH <--- One search เช่น www.tnrr.in.th/beta  หรือเช่น Google แต่จะไม่มีบรรณานุกรมให้   
              หรือจะเป็นฐานข้อมูลต่างๆ เข่น
                   - ฐานข้อมูลนักวิจัย  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
                   - ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
                   - ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์  มหาวิทยาลัยแม่โจ้
                   - ฐานข้อมูลผลงานวิจัย สวทช
                   www.vijai.net เป็น one search แบบ Web Query
    • ILS/DBS <---> DBS , Apps
    • Linked data ---> Semantric web / web3.0  ซึ่ง Semantric จะเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้  คือจะต้องป้อนคำค้นหาที่เป็นประโยคได้  ส่วน web3.0 พิมพ์คำลงไปแล้วให้คำที่เกี่ยวข้องมาด้วย หรือแนะนำคำอื่นๆที่สัมพันธ์มาให้ด้วย  เช่น www.wolframalpha.com ซึ่งได้ประกาศตัวเองเป็นweb3.0  หรือ 164.115.5.61/thesaurus/ 
    6. Data & Information mining / visualization 
            ให้บริการการค้นอย่างเดียวไม่พอแต่จะมีแหล่ง หรือคำเชื่อมโยงต่อไปให้ด้วย เช่น www.boliven.com
    visual web เช่น www.vadl.cc.gatech.com
                            www.labs.ideeinc.com/visual
                            www.krazydad.com/colrpickr
                            www.labs.ideeinc.com/multicocour
                         ซึ่ง3 เว็บสุดท้ายจะเป็นเว็บเกี่ยวกับรูปภาพ
    7. Green Library  
             ซึ่งเป็นผลมาจากของการเกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันขึ้น  ซึ่งในทุกหน่วยงาน ทุกองค์กรก็หันมาช่วยกันในการลดภาวะโลกร้อนโดยการใส่ใจกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น  เช่นจะมี 
    ... Green building : การใช้อุปกรณ์ น้ำ ไฟ แอร์ ให้ประหยัดมากขึ้น
    ... Green ICT : เช่นการนำ cloud เข้ามาใช้งานในองค์กร
    ซึ่งห้องสมุดก็เป็นหนึ่งในนี้ที่ได้มีการใส่ใจกับเรื่องนี้  และได้มีการจัดทำห้องสมุดให้มีการลดการใช้พลังงานทุกๆอย่างลง
    ตัวอย่างเว็บไซต์ เช่น  www.beat2010.net
                                      

      วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

      กิจกรรมห้องสมุด

      กิจกรรมห้องสมุด
               บรรณารักษ์ต้องเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์  ต้องคิดให้มีกิจกรรมที่ดึงดูดใจให้ผู้ใช้เข้ามาใช้บริการของห้องสมุดให้ได้  ต้องคิดให้แปลกใหม่  และแตกต่างอยู่เสมอ
               กิจกรรมห้องสมุด  เป็นงานที่ห้องสมุดจัดขึ้นเป็นครั้งคราว  หรือในโอกาสต่างๆ  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้ห้องสมุด  และส่งเสริมการอ่าน  สอดคล้องกับการส่งเสริมให้มีการอ่านตลอดชีวิต  จะแตกต่างจากงานบริการ คือ  งานบริการเป็นงานที่กำหนดเอาไว้ให้มีตลอดไป  ประมาณ 1-2 ปีก็ได้แล้วแต่ทางห้องสมุดจะจัดการ
      ความสำคัญของกิจกรรมห้องสมุด
               การจัดกิจกรรมห้องสมุด  เป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ให้มีผู้รู้จักห้องสมุดมากขึ้น  และเป็นการกระตุ้นให้มีผู้ใช้ทรัพยากรห้องสมุดอย่างคุ้มค่าและหลากหลาย  นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ในด้านการส่งเสริมการอ่าน  การศึกษาค้นคว้า  ซึ่งจะสอดคล้องกับระบบการศึกษาของไทยที่ต้องการให้คนไทยมีการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต
      วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมห้องสมุด

      1. เพื่อประชาสัมพันธ์งานและบริการต่างๆของห้องสมุด
      2. เพื่อรณรงค์ให้มีการอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น
      3. เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้อยากอ่านหนังสือประเภทต่างๆมากขึ้น
      4. เพื่อเป็นการเริ่มต้นของการรู้จักศึกษาค้นคว้าสารสนเทศใช้จัดกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ  เกิดประสิทธิผลต่อผู้เข้าชมกิจกรรม
      ประเภทของกิจกรรมห้องสมุด
               กิจกรรมของห้องสมุดจัดแบ่งประเภทออกตามวัตถุประสงค์ที่จัดได้ดังนี้

      1. กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
      2. กิจกรรมส่งเสริมความรู้เรื่องห้องสมุด
      3. กิจกรรมส่งเสริมการเรียนการสอน
      4. กิจกรรมส่งเสริมความรู้ทั่วไป  สำหรับบุคคลทั่วไป
      5. กิจกรรมส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
      • กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน  เป็นกิจกรรมที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้สนใจในการอ่านและเกิดนิสัยรักการอ่าน  ได้แก่
                  - การเล่านิทาน                                                           - การออกร้านหนังสือ
                  - การเล่าเรื่องหนังสือ                                                 - การแสดงละครหุ่นมือ
                  - การตอบปัญหาจากหนังสือ                                      - การโต้วาที
                  - การอภิปรายหนังสือ                                                 - การประกวด
                  - การแข่งขัน                                                              - การจัดแสดงหนังสือใหม่
                  - การวาดภาพโดยใช้จินตนาการจากการฟังนิทาน

      • กิจกรรมส่งเสริมความรู้เรืองห้องสมุด  เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้รู้จักใช้ห้องสมุดในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง  ได้แก่
                  - การแนะนำการใช้ห้องสมุด
                  - การปฐมนิเทศการใช้ห้องสมุด
                  - การนำชมห้องสมุด
      การอบรมนักเรียนให้รู้จักช่วยงานห้องสมุด (ยุวบรรณารักษ์)

      • กิจกรรมการเรียนการสอน  เป็นกิจกรรมที่ห้องสมุดจัดขึ้น  เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้  ได้แก่
                   - การจัดนิทรรศการ                                               - การตอบปัญหา
                   - การประกวดคำขวัญ                                            - การประกวดวาดภาพ
                   - การประกวดเรียงความ                                      
                   -  การให้ความร่วมมือกับผู้สอนในการจัดให้มีการศึกษาค้นคว้าในชั่วโมงเรียน

      • กิจกรรมส่งเสริมความรู้ทั่วไป  เป็นกิจกรรมที่ห้องสมุดจัดขึ้น  เพื่อเป็นการเสริมความรู้ให้แก่ผู้ใช้  ได้แก่
                  - การจัดสัปดาห์ห้องสมุด                      - การจัดป้ายนิเทศเสริมความรู้
                  - การจัดนิทรรศการ                               - การฉายสื่อมัลติมีเดีย
                  - การสาธิตภูมิปัญญาไทย                     - การตอบปัญหาสารานุกรมไทยและหนังสือความรู้รอบตัว

      • กิจกรรมส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์  เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์จากการอ่านหนังสือ  ได้แก่
                 - การจัดมุมรักการอ่าน
                 - การจัดมุมหนังสือในห้องเรียน
                 - การจัดห้องสมุดเคลื่อนที
      การล่านิทาน (Story telling)
               การเล่านิทานเป็นกิจกรรมส่งเสริมการอ่านประเภทหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน  เพราะนิทานให้ให้ทั้งความสนุกสนาน  เพลิดเพลิน  เพิ่มพูนความรู้ทางภาษาและจินตนาการ  ผู้เล่าต้องมีจิตวิทยาการอ่านที่ดี  ต้องรู้ว่าเด็กสนใจอะไรบ้าง  เด็กชายกับเด็กหญิง  จะมีความสนใจที่เหมือนกันในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  การเลือกเรื่องที่จะเล่าก็ต้องให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายด้วย
      สาระน่ารู้ของกิจกรรมการเล่านิทาน

      • เรื่องเล่าอย่างไรที่เรียกว่านิทาน
      • ความเป็นมาของการเล่านิทาน  เล่าสืบต่อกันมาอย่างไร
      • ประเภทของนิทานที่มีอยู่ในประเทศไทย
      • การเลือกนิทานสำหรับเล่า  ไม่เล่าเรื่องที่หนักเกินไป
      • การเตรียมตัวก่อนการเล่า
      • วิธีการเล่านิทาน
      • ประโยชน์ของการเล่านิทาน
      ประเภทของนิทานที่มีในไทย

      1. นิทานก่อนมีประวัติศาสตร์
      2. นิทานประเภทชาดกในนิบาตชาดก  เรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธ  เช่น เทศมหาชาติ  พระเวศสันดร
      3. นิทานประเภทคำกลอน
      4. นิทานนอกนิบาตชาดก
      5. นิทานพื้นเมือง
      6. นิทานประเภทจักรๆวงศ์ๆ
      7. นิทานสุภาษิต
      8. นิทานยอพระเกียรติ
      การเลือกนิทานสำหรับเล่า  การเล่านิทานให้เด็กฟังควรเป็น
      - นิทานปรัมปรา
      - ร้อยกรอง
      - สารคดี
      - ประวัติบุคคลสำคัญ
      การเตรียมตัวก่อนการเล่านิทาน
               การเล่านิทานเป็นศิลปะที่สามารถศึกษาได้  ผูู้เล่าต้องอ่านเรื่องที่จะเล่าให้ขึ้นใจ  บางครั้งต้องใช้หนังสือประกอบเมื่อเล่าให้เด็กฟัง
      นิทานที่เหมาะสำหรับเล่า

      1. มีความเคลื่อนไหวอยู่ในเรื่อง
      2. มีเนื้อเรื่องเร้าใจ
      3. มีพรรณาโวหาร  ให้เห็นภาพ
      4. มีการใช้คำซ้ำๆ  ให้คล้องจองกัน
      5. ตัวละครมีปฏิภาณ  ไหวพริบ
      6. เนื้อเรื่องให้ความสะเทือนใจ
      7. ไม่ใช่เรืองที่น่ากลัวเกินไป
      8. เรื่องเกี่ยวกับเด็กและสัตว์เล็กๆ
      9. นิทานสุภาษิตและอีสป
      10. เรื่องขำขัน
      11. ตำนาน นิทานพื้นเมือง  เทพนิยาย เทพปกรณัม
      วิธีการเล่านิทาน

      1. จัดให้เด็กนั่งเตรียมพร้อมสำหรับการฟัง
      2. สร้างบรรยากาศในการเล่า
      3. เล่าด้วยความมั่นใจ
      4. ใช้ภาษา  สำนวนง่ายๆ
      5. ผู้เล่าต้องมองผู้ฟังอย่างทั่วถึง
      6. จิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เล่า
      7. ต้องสร้างมโนภาพในเรื่องที่จะเล่า
      8. แสดงท่าทางประกอบตามสมควร
      ประโยชน์ของเด็กที่ได้รับจากการฟังนิทาน

      1. รู้จักเลือกอ่านหนังสือ
      2. รู้จักแก้ปัญหาให้ตนเองได้เมื่อนำตนเองเข้าไปเปรียบเทียบกับตัวละครในเรื่อง
      3. ทำให้เด็กมีประสบการณ์กว้างขวาง
      4. เปิดโอกาสให้เด็กได้หัวเราะ  มีจินตนาการร่วม
      5. ช่วยเด็กตัดสินใจว่าเป็นสิ่งที่สังคมของเขายอมรับ